Welcome to my blog :)

rss

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การทำเจลล้างมือเอง

       ทำใช้เองแบบง่ายๆ ที่คุณก็ทำได้ในชีวิตประจำวันคงไม่มีใครหลีกเลี่ยงเชื้อโรคทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ได้ ยิ่งถ้าต้องใช้ชีวิต นอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ยิ่งทำให้ง่ายต่อการสัมผัสกับเชื้อโรคทั้งหลายเหล่า นั้นวันนี้เราจะมาเสนอการทำ "เจลล้างมือฆ่าเชื้อโรค" โดยมีสูตรวัตถุดิบและวิธีการทำอย่างง่ายมาแสดงให้ดู คุณๆ สามารถทำไว้พกติดตัวแถมยังเผื่อแผ่ให้กับสมาชิกในครอบครัวพกไว้ใช้กันได้ทุก เมื่อที่ต้องการอีกด้วย เป็นครอบครัวอนามัยกันถ้วนหน้าไปเลยดีไหมคะ เพราะอย่างน้อยการล้างมือเมื่อสัมผัสกับสิ่งไม่สะอาดทั้งหลายและก่อนรับ ประทานอาหารก็เป็นอีกทางที่จะช่วยลดปริมาณเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกายของ เราได้ ไม่มากก็น้อยล่ะค่ะ

วิธีการผสม เตรียมสารละลายน้ำหอม
1. ตวงเอธิลแอลกอฮอล์ ปริมาณ 40 มล. โดยใช้ถ้วยตวงที่เตรียมไว้
2. เติมน้ำหอม ปริมาณ 5 มล. ลงไป
3. เติมกลีเซอรีน ปริมาณ 10 มล. ลงไป
4. กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันดี ได้สารละลายใส

       การผสมผลิตภัณฑ์นำเอธิลแอลกอฮอล์ที่เหลือ ปริมาณ 700 มล. ใส่ในถัง หม้อสแตนเลส หรือพลาสติก ขนาดบรรจุ 1.5 ลิตร เติมสารละลายน้ำหอมที่เตรียมไว้ลงไป กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันดี จากนั้นเติมน้ำ ปริมาณ 245 มล. ลงไป กวนด้วยพายจนสารผสมเข้ากันได้ วิธีการง่ายๆ เท่านี้ ก็จะได้เจลล้างมือไปใช้เองในราคาที่ประหยัดอีกด้วย.

ที่มา: -www.mediathai.net
         -นสพ.เดลินิวส์
         -อาชีพ.คอม


6 ขั้นตอน วิธีล้างมือให้สะอาด

ขั้นตอนที่ 1 : ฟอกฝ่ามือและง่ามนิ้วมือด้านหน้า5 ครั้ง โดยเน้นซอกนิ้วมือ
ขั้นตอนที่ 2 : ฟอกหลังมือและง่ามนิ้วมือด้านหลังข้างละ 5 ครั้ง โดยเน้นซอกนิ้มือ
ขั้นตอนที่ 3 : ฟอกนิ้วและข้อนิ้วมือด้านหลังข้างละ 5 ครั้ง
ขั้นตอนที่ 4 : ฟอกนิ้วหัวแม่มือ ข้างละ 5 ครั้ง
ขั้นตอนที่ 5 : ฟอกปลายนิ้วมือ เล็บ โดยหมุนวนไปบนฝ่ามือ ข้างละ 5 ครั้ง
ขั้นตอนที่ 6 : ฟอกรอบข้อมือโดยรอบข้างละ 5 ครั้ง

ที่มา: โรงพยาบาลกรุงเทพ
         โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 17
         งานป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ยาชนิดที่สามารถรักษาโรคไข้หวัด 2009 ได้

ยาต้านไวรัส ซึ่งใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 นี้ได้ผล คือ ยาโอเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) เป็นยาชนิดกิน และยา zanamivir เป็นยาชนิดพ่น แต่ผลการตรวจเชื้อไวรัสนี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่าเชื้อนี้ ดื้อ
ต่อยาต้านไวรัส amantadine และ rimantadine
ยาต้านไวรัส oseltamivir จะให้ผลรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ดีที่สุด ถ้าผู้ป่วยได้รับยาเร็วภายใน 2 วันนับตั้งแต่เริ่มมีไข้

ที่มา:  http://razzii.allblogthai.com/11
          กระทรวงสาธารณสุข
          นสพ.คม ชัด ลึก

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

8วิธีง่ายๆห่างไกล ไข้หวัด2009

       นอกเหนือจากการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำทั้ง 8 ข้อแล้ว รองอธิบดีกรมควบคุมโรคอธิบายต่อไปว่า การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับร่างกายก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกัน เพราะหากร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์แล้วจะสามารถทำให้เราผ่านการระบาดของโรคนี้ไปได้ โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหาร 8 ชนิดดังต่อไปนี้ที่เชื่อว่าอาจให้ผลในการช่วยเพิ่มภูมิต้านทานป้องกันหรือลดความรุนแรงของหวัด ประกอบด้วย

1. อาหารรสเผ็ดรวมทั้งเครื่องเทศ เช่น กระเทียม พริก ลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น
2. กระเทียม ช่วยลดอาการหวัด จะเติมลงในอาหารหรือเคี้ยวสดๆ วันละ 1 - 2 กลีบก็ได้
3. ดื่มน้ำมากๆ แทนที่จะดื่มกาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน อาจดื่มน้ำผลไม้คั้นสดบ้างเพื่อเสริมวิตามินซี เครื่องดื่มร้อนที่ช่วยได้ เช่น ชา น้ำมะนาวอุ่นๆ จะช่วยลดเสมหะได้
4. ซุปไก่ร้อนๆ ช่วยลดอาการคัดจมูก อาจเติมผักหลายๆ สี เพื่อเพิ่มสารแอนติออกซิแดนต์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ซุปไก่ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นเคี่ยวนานๆ จนโปรตีนย่อยสลายเป็นไดเปปไทด์ อาจช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย
5. สารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน (วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี ช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น
6. ผลไม้ตระกูลส้ม ซึ่งมีวิตามินซีสูง ช่วยลดความเสี่ยงการติดหวัดโดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในแวดวงคนสูบบุหรี่ บุหรี่เองเพิ่มความเสี่ยงการเป็นหวัดและทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีสูงขึ้น
7. อาหารอื่นๆ ที่เป็นแหล่งวิตามินซี เช่น ฝรั่ง พริกหวาน สตรอเบอร์รี่ สับปะรด กะหล่ำปลี ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน
8. ขิง ช่วยลดอาการหวัดและป้องกันหวัด น้ำขิงร้อนๆ ผสมกระเทียม 2 - 3 กลีบ ช่วยให้ระบบหายใจทำงานคล่องขึ้น

ที่มา:  -http://www.kroobannok.com/blog/15328
          -สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)
          -http://www.kradarndum.com.

เลือกซื้อหน้ากากอนามัยป้องกันไข้หวัด 2009

หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ 3 ชั้น นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน หน้ากากชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นได้ดี สามารถป้องกันของเหลวซึมผ่านได้ ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคจากการไอหรือจาม ซึ่งหน้ากากอนามัยชนิดนี้อาจสามารถป้องกันผู้สวมใส่จากเชื้อโรคได้ในจำพวกเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา แต่หากเป็นเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นอนุภาคที่มีขนาดเล็กมากในระดับไมครอน อาจจะไม่สามารถป้องกันได้ และไม่ควรมีการนำมาใช้ซ้ำ ควรเปลี่ยนหน้ากากใหม่ทุกวัน โดยหน้ากากมีราคาชิ้นละประมาณ 5 บาท หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปค่ะ

หน้ากากอนามัยที่ผลิตจากผ้าฝ้าย หน้ากากชนิดนี้จะเน้นใช้สำหรับป้องกันฝุ่นละออง และป้องกันการกระจายของน้ำมูกหรือน้ำลายจากการไอจาม แต่อาจไม่สามารถกรองเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กมากๆ ได้เช่นเดียวกับหน้ากากอนามัยกระดาษ แต่ข้อดีของหน้ากากผ้าฝ้ายนี้คือสามารถซักทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ค่ะ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดมากขึ้น ราคาของหน้ากากประมาณชิ้นละ 5-10 บาท เท่านั้นค่ะ
หน้ากากอนามัยชนิด N95 ถือเป็นหน้ากากอนามัยที่ยอมรับกันในขณะนี้ว่า สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ดีที่สุด เพราะป้องกันได้ทั้งฝุ่นละอองและเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอน และมีอายุการใช้งานนานประมาณ 3 สัปดาห์ แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรจะเปลี่ยนใหม่ทุกวัน หน้ากากชนิดนี้มีราคาชิ้นละประมาณ 30-50 บาท ...
         ถ้าน้องๆ คนไหนกลัวที่จะได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ล่ะก็ หน้ากากอนามัยชนิด N95 น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีอีกตัวเลือกนึงเลยทีเดียวล่ะค่ะ

ที่มา: -ผู้จัดการออนไลน์
         -กระทรวงสาธารณสุข
         -นสพ.เดลินิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มารู้จักกับวัคซีนไข้หวัด2009

         วัคซีน ป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่หลายประเทศกำลังเร่งผลิตและทดลองกันอยู่ในขณะนี้ กลายเป็นความหวังของคนทั่วโลก ในยามที่โรคอุบัติใหม่ดังกล่าวกำลังระบาดอยู่ในตอนนี้ ขณะที่นักวิจัยของไทยเองได้มีการสร้างเชื้อไวรัสสำหรับผลิตวัคซีนเองเหมือน กัน ทั้งวัคซีนชนิด เชื้อเป็นและ เชื้อตาย แต่วัคซีนชนิดไหนดี เด่น หรือด้อย อย่างไร คงต้องลองเปรียบเทียบดูหลายๆ ปัจจัย อาทิเช่น ผลิตจากอะไร?

วัคซีนเชื้อเป็น : ผลิต มาจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอช1 เอ็น1 ที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นชนิดที่อ่อนแรงไม่ก่อให้เกิดโรค นำมาเลี้ยงเพิ่มจำนวนแล้วนำไปใช้เป็นวัคซีนได้เลย
วัคซีนเชื้อตาย : เป็นการ นำเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอช1 เอ็น1 2009 มาพัฒนาด้วยเทคนิคทางพันธุกรรม สร้างไวรัสตัวใหม่ที่ไม่ก่อโรคขึ้นมา นำไปเลี้ยงเพิ่มจำนวนแล้วทำให้ตาย เหลือแต่ส่วนผิวซึ่งมีลักษณะจำเพาะของไวรัสที่ใช้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ แล้วจึงนำไปทำเป็นวัคซีนต่อไป
วิธีการใช้?
วัคซีนเชื้อเป็น : ใช้วิธีฉีดพ่นใส่โพรงจมูก
วัคซีนเชื้อตาย : ฉีดผ่านทางกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังสามารถขับออกจากร่างกายได้หรือไม่?
วัคซีนเชื้อเป็น : เชื้อไวรัสที่อ่อนแรงนี้ออกมากับน้ำมูก น้ำลายได้
วัคซีนเชื้อตาย : ไม่มีเชื้อไวรัส
จุดเด่น?
วัคซีนเชื้อเป็น : สามารถ สร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และสามารถผลิตได้ครั้งละเป็นจำนวนมากๆ ภายในเวลาอันสั้น แถมยังมีต้นทุนต่ำอีกด้วย
วัคซีนเชื้อตาย : ข้อดี ของวัคซีนเชื้อตายคือปลอดภัย 100% เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไม่ก่อให้เกิดโรคหรืออาการเจ็บป่วยใดๆ สามารถให้ได้เกือบทุกคน โดยไม่มีอาการแพ้
ข้อจำกัดของวัคซีน?
วัคซีนเชื้อเป็น : ห้าม ใช้กับคนบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่แพ้ไข่ หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ และผู้ที่มีความบกพร่องของ ภูมิคุ้มกัน
วัคซีนเชื้อตาย : หลัง จากฉีดแล้ว ค่อนข้างต้องใช้เวลานานในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและต้นทุนในการ ผลิตก็สูง จำนวนที่ผลิตได้ในแต่ละครั้งต้องใช้เวลามากและได้วัคซีนค่อนข้าง น้อย และอาจสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่ดีเท่ากับวัคซีนเชื้อเป็น ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิดไหน ก็ขอให้คนไทยทำสำเร็จ สามารถนำมาใช้กับคนได้จริงๆ สำหรับตอนนี้ในขณะที่วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ยังไม่มี พวกเราก็ต้องใช้วิธีดูแลตัวเองไปก่อน พยายามป้องกันอย่าให้ป่วยเป็นโรคนี้ ด้วยการล้างมือบ่อยๆ หากยังไม่ได้ล้างมือก็อย่านำมือมาขยี้ตา แคะจมูก หรือหยิบสิ่งของเข้าปาก ไอจามใส่กระดาษทิชชูหรือผ้าเช็ดหน้า และร่วมรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการสวมหน้ากากอนามัยทันทีที่ไม่สบายหรือเป็น หวัด สำหรับคนปกติหากเข้าที่แออัดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองรับเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว หากพวกเรา “รวมพลังกันสู้หวัด” ตามมาตรการเหล่านี้อย่างเคร่งครัด เชื่อว่า เราจะสามารถเอาชนะเจ้าไข้หวัด2009 ได้อย่างแน่นอน

ที่มา: -สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
         -กรมอนามัย
         -กรมควบคุมโรค